ลุยส์ เอเชเบร์ริอา อัลบาเรซ (
สเปน: Luis Echeverría Álvarez; 17 มกราคม พ.ศ. 2465
[1] –) เป็นนักกฎหมาย นักวิชาการ และนักการเมืองชาว
เม็กซิโกซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ
ประเทศเม็กซิโก ระหว่าง พ.ศ. 2513 จนถึง พ.ศ. 2519 ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยระหว่าง พ.ศ. 2506 จนถึง พ.ศ. 2512 ปัจจุบันเขาเป็นอดีตประธานาธิบดีที่ยังมีชีวิตอยู่และมีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลของ
กุสตาโบ ดิอัซ ออร์ดัซ โดยขึ้นชื่อเรื่องการปราบปรามทางการเมืองในประเทศ นักข่าว นักการเมือง หรือนักเคลื่อนไหวที่มีแนวคิดตรงข้ามรัฐบาลถูก
ตรวจพิจารณา รวมถึงถูกจับกุมตามอำเภอใจ ถูกทรมาน และถูกวิสามัญฆาตกรรม พฤติการณ์เหล่านี้บานปลายไปสู่
การสังหารหมู่ที่ตลาเตโลลโก พ.ศ. 2511 ดิอัซและเอเชเบร์ริอาถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนในการก่อการสังหารหมู่ครั้งนี้ ดิอัซได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโก เขาจึงขึ้นสู่อำนาจใน พ.ศ. 2513เอเชเบร์ริอาถือเป็นประธานาธิบดีคนสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์เม็กซิโก โดยรัฐบาลของเขาวางตัวเป็นกลางใน
สงครามเย็น[2] และได้รับผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากรัฐบาลเผด็จการทหารของ
เอากุสโต ปิโนเช แห่ง
ประเทศชิลี และสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเม็กซิโกกับ
สาธารณรัฐประชาชนจีนหลังจากการเยือนประเทศจีนและเข้าพบ
เหมา เจ๋อตุง[3] ทั้งนี้ รัฐบาลของเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับ
ประเทศอิสราเอลและกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายยิว หลังจากสนับสนุนข้อมติของ
สหประชาชาติที่ถือว่า
ลัทธิไซออนนิสต์เป็น
อคติทางเชื้อชาติ[4][5]ในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ประเทศเม็กซิโกมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ และมีการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการสร้างท่าเรือเพื่อการค้า
[6] อย่างไรก็ตาม เขาปกครองประเทศแบบ
เผด็จการ และเขามีส่วนเกี่ยวข้องและพัวพันใน
การสังหารหมู่ในเทศกาลสมโภชพระคริสตวรกาย พ.ศ. 2514 รวมถึง
สงครามสกปรก ซึ่งทำให้เขาขัดแย้งกับกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายซ้ายในประเทศ แม้ว่าเขาจะดำเนินนโยบายแบบประชานิยมฝ่ายซ้ายก็ตาม
[7][8] ทั้งนี้ มีการบันทึกว่าเที่ยวบินมรณะเกิดขึ้นครั้งแรกในเม็กซิโกสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
[9][10] หลังจากหมดวาระตำแหน่งประธานาธิบดี ใน พ.ศ. 2549 เขาถูกฟ้องร้องในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารหมู่ที่ตลาเตโลลโกและการสังหารหมู่ในเทศกาลสมโภชพระคริสตวรกาย
[11] แต่ใน พ.ศ. 2552 ศาลได้ยกฟ้องข้อกล่าวหาดังกล่าวทั้งหมด
[12]